แอร์โฮสเตส


ค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ "flight attendants training" หรือ "แอร์โฮสเตส"

Flight attendant

Tuesday, April 8, 2008

ลิงค์สมัครแอร์โฮสเตรส

Employers

Crewlink
Crewlink
easyJet
easyJet
Emirates
Emirates
Gulf Air
Gulf Air
Lufthansa
Lufthansa
Monarch Airlines
Monarch Airlines
Qantas Cabin Crew (UK)
Qantas Cabin Crew (UK)
Ryanair - Dalmac
Ryanair - Dalmac
Ryanair - St James
Ryanair - St James
Thomas Cook Airlines
Thomas Cook Airlines
Virgin Atlantic
Virgin Atlantic
Active Solutions Consulting Group
Active Solutions Consulting Group
Air Canada Jazz
Air Canada Jazz
Air Malta
Air Malta
Career Legal
Career Legal
Cathay Pacific Airways
Cathay Pacific Airways
Elite Associates
Elite Associates
Etihad Airways
Etihad Airways
Flightline
Flightline
Flybe
Flybe
Markoss Aviation
Markoss Aviation
Office Concierge
Office Concierge
Silverjet
Silverjet
Swiss International Airlines
Swiss International Airlines
TAG Aviation
TAG Aviation
Vueling
Vueling

2 comments:

exteem said...

บทที่ 5 แอร์-สจ๊วต Emirates
เริ่มจะมองเห็นภาพแล้วนะครับว่า พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินของการบินไทยมีลักษณะในการทำงานเป็นอย่างไร และอย่างที่คุณเสรีได้อธิบายว่า ทำไมสายการบินต่างชาติ ถึงได้มุ่งเป้ามารับสมัครคนไทยเข้าไปทำงาน ก็ด้วยเสน่ห์ของคนไทย และการมี Service Mind ที่ดูจะมีมากกว่าถ้าเปรียบเทียบกับชนชาติอื่น ๆ เพราะฉะนั้นเราเริ่มได้เห็นวัฒนธรรมขององค์กรกันบ้างแล้วนะครับว่า สายการบินบ้านเรามีความโดดเด่นในเรื่องใดเป็นพิเศษ

ลำดับต่อไป เราก็คงจะไปเรียนรู้สายการบินอื่น ๆ กันบ้าง เอ๊ะ...จะเหมาะกับเราไหม....ลองมาดูนะครับว่าสายการบินจากดินแดนอาหรับ เขามีการคัดเลือกบุคลากรกันอย่างไรบ้าง ลำดับต่อไปขอเชิญ คุณธัญลักษณ์ ครับ

คุณธัญลักษณ์
กราบสวัสดีท่านประธาน รองศาสตราจารย์จำรอง เงินดี ท่านอาจารย์ ดร.รัชนีวรรณ และวิทยากรทุกท่าน สวัสดีน้องๆที่เข้าร่วมรับฟังทุกๆคนนะคะ ขออนุญาตแทนตัวเองว่าพี่เกด นะคะ

วันนี้จะขอพูดเรื่องของสายการบิน เอมิเรตส์...
มีใครรู้จักสายการบิน เอมิเรตส์ บ้างไหมคะ.....

.......นึกว่าไม่มี จะเดินออกไปก่อนเลย
...ก็พอมีบ้างนะคะ
ที่นี้ ทราบอะไรกันบ้างเกี่ยวกับสายการบินนี้ ???

สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ อยู่ตรงไหนของโลกคะ...ตะวันออกกลางนะคะ เมืองหลวงชื่อ อาบูดาบี ได้ยินแว่ว ๆ จากทางนี้ สำหรับลูกเรือคนไทยของสายการบินเอมิเรตส์เราจะไป base กันที่เมือง ดูไบ ซึ่งเป็นเมืองที่มีความสำคัญทางด้านเศรษฐกิจการค้า และการลงทุน
ก่อนอื่น พี่เกดอยากจะพูดถึงคุณสมบัติของผู้สมัครหรือผู้ที่สนใจสมัครก่อนนะคะ เนื่องจากว่าตอนนี้พี่เกดเองก็ทำหน้าที่คัดเลือกลูกเรือ คือทั้งแอร์และสจ๊วด ให้กับทางสายการบินนี้ ถ้าเกิดวันนี้น้อง ๆ มีคำถามก็สามารถถามได้ คราวนี้จะพูดถึงเรื่องทั่ว ๆไปก่อน

คุณสมบัติเป็นอย่างไรคะ???
อย่างแรกเลย.... ได้ทั้งเพศชายและเพศหญิงนะคะ
แต่ว่าเราจะต้องมั่นใจก่อนนะคะว่า...เราเป็นเพศไหนกันแน่...

อายุขั้นต่ำจะต้อง 21 ปี เนื่องจากว่าเราจะต้องไปอยู่ที่ต่างประเทศ ต้องไป base ที่ดูไบ เพราะฉะนั้นเราต้องบรรลุนิติภาวะแล้วค่ะ

ส่วนเรื่องของการศึกษา
จบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 สาขาอะไรก็ได้ทั้งหมด ถ้าคุณเป็นคนที่มีใจรักบริการอย่างที่ท่านอาจารย์ได้กล่าวไปแล้ว ซึ่งเป็นคุณสมบัติพื้นฐานที่มีติดมากับตัวเรา

อันดับที่ 3 เรื่องของความสูง
ต้องกำหนดความสูงด้วย ไม่ว่า แอร์หรือสจ๊วต ทุกสายการบินต้องกำหนดความสูง
ของ เอมิเรตส์ กำหนดความสูงเพียง 158 ซม สำหรับผู้หญิงค่ะ หรือเขย่งเท้าเอื้อมแตะนะคะ ภาษาอังกฤษเราเรียกว่า Arm Reach แตะที่ 2 เมตร 12 เซนติเมตร
เพราะอะไร ทำไมต้องกำหนดความสูงด้วยล่ะ ???

ความสูงตรงนี้คือ ความสูงของที่เก็บสัมภาระเหนือศีรษะในเครื่องบินค่ะ เป็นความสูงที่เราสามารถเอื้อมถึงอุปกรณ์เมื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน หรืออุปกรณ์อำนวยความสะดวกแก่ผู้โดยสาร เวลาที่เราเข้าไปคัดเลือก เขาจะทดสอบ Arm Reach ก่อนเลย วัดความสูงก่อน แล้วก็ดูว่าคุณสามารถสัมผัสเส้นแดงของเราที่ 2 เมตร 12 เซนติเมตร ได้ไหม...เพราะฉะนั้น เดี๋ยวหลังจากวันนี้แล้ว ไปซ้อมกันที่บ้านได้นะคะ

ทำอย่างไรล่ะ???

ถอดรองเท้าค่ะ แล้วเขย่งเท้าได้สุดเอื้อมแขนนะคะ ปลายนิ้วเราจะต้องสัมผัสความสูงได้ที่ 2 เมตร 12 เซนติเมตร ปลายนิ้วนะคะ...เน้น...ไม่ใช่ปลายเล็บ

ข้อ 4 ค่ะ ภาษาอังกฤษอยู่ในเกณฑ์ดีมาก
เพราะว่าเอมิเรตส์เป็นสายการบิน International และ Professional เหมือนกับทุก ๆ สายการบินนะคะ เนื่องจากว่า เอมิเรตส์ รับลูกเรือทั่วโลกเลย ประมาณ 100 กว่าสัญชาติ และผู้โดยสารก็หลากหลายสัญชาติมาก ไม่ใช่เฉพาะตะวันออกกลาง ยังมีทั้งยุโรป เอเชีย อินเดีย อะไรต่าง ๆ เยอะไปหมดเลย

..เพราะฉะนั้นภาษากลางที่เราใช้ก็คือภาษาอังกฤษ หรือใครมีความสามารถภาษาอาหรับก็จะได้รับการพิจารณาเป็นพิเศษ

ทุกคนทำหน้าสงสัย...จะมีได้ไงคะ
ไม่แน่...บางคนก็อาจจะพูดได้ใช่ไหมคะ
แต่อันดับแรกเลยคือ ภาษาอังกฤษต้องอยู่ในเกณฑ์ดี

บางคนถามว่า แล้วเราจะมีเกณฑ์ในการวัดอย่างไรคะ ส่วนใหญ่สายการบินเขาจะขอคะแนนผลสอบ TOEIC ด้วยทุกคนรู้จัก TOEIC ใช่ไหมคะ

แต่ เอมิเรตส์…ไม่ขอคะแนน TOEIC เพราะอะไร ???
เรามีข้อสอบของเราเองค่ะ ซึ่งถ้าเทียบกับ TOEIC แล้วควรจะได้อยู่ในเกณฑ์ 800 คะแนน
ข้อที่ 5 นี่ก็สำคัญ ค่ะ
เรื่องของสุขภาพร่างกายต้องแข็งแรง
สายตาสั้นได้มั้ย ??? ได้ค่ะ แต่ห้ามสวมใส่แว่นตา หรือสามารถทำเลสิก ก็ได้

สำหรับเหล็กดัดฟันที่สมัยนี้กำลังฮิตมาก อาทิตย์หนึ่งมีเจ็ดสี เปลี่ยนสีทุกวันเลย ลูกเรือจะดัดฟันไม่ได้นะคะ สำหรับทุกสายการบินเลย ถ้าเกิดว่าอยากดัดฟันสามารถดัดข้างในได้ ที่ยิ้มออกมาแล้วจะไม่เห็นเหล็กดัด

ก็ประมาณแสนกว่าบาท....ค่ะ

อันดับที่ 6 ต้องสามารถทำงานประจำที่เมืองดูไบ
คือเราจะต้องไป base ที่นู่นเลย ใครที่รู้ว่าตัวเองเป็นคนคิดถึงบ้าน ติดคุณพ่อคุณแม่ อันนี้ต้องคิดดี ๆ นะคะ

อันดับที่ 7 ประสบการณ์
ถ้าเรามีประสบการณ์ทางด้านงานบริการก็จะได้รับพิจารณาเป็นพิเศษ อาจจะเป็นงานที่นอกเหนือจากสายการบินก็ได้ จะเป็นโรงแรม ธุรกิจการอื่น ๆ ก็โอเคค่ะ
คราวนี้เรามาดูวิธีการสมัคร

ถ้าเราสนใจจะสมัครต้องทำอย่างไร???

อันดับแรก Internet Online ค่ะ

เข้าไปดูที่ http://www.emiratesairlinesgroup เข้าไปสมัครได้เลย แล้ว attach ไฟล์เอกสารของเราได้ด้วย

อันดับที่ 2 ก็คือ เอมิเรตส์ให้โอกาสสำหรับสถาบันฝึกอบรมพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน สามารถสมัครผ่านสถาบันเหล่านี้ได้ เฉพาะสถาบันที่มีสัญญากับเอมิเรตส์อยู่ ซึ่งตอนนี้พี่เกดเองก็ทำให้กับทางสายการบินเอมิเรตส์โดยสมัครผ่านทาง Flying KAS ได้ค่ะ ซึ่งเรามีขั้นตอนการคัดเลือกในเบื้องต้นให้กับทางเอมิเรตส์ด้วย

สรุปแล้ว สมัครได้ถึง 2 ทางค่ะ

ขั้นตอนการคัดเลือกลูกเรือของเอมิเรตส์

รอบแรก คือ Pre-Screening

รอบนี้มีผู้เข้าร่วมคัดเลือกครั้งหนึ่งประมาณ 2,500 คน
ได้เป็นลูกเรือกันกี่คนรู้ไหมค่ะ

...200 300 ???
20 คนค่ะ น้อง ๆ

...โอ้โหกันใหญ่เลย
อย่างแรกที่เราดูคือ เรื่องของ Appearance
สำหรับเอมิเรตส์นั้น ต้อง Balancing Face ไม่ต้องสวย...ไม่ต้องหล่อค่ะ แต่คุณต้องมีโครงหน้า 2 ข้างเท่ากัน หน้าไม่แปลกเป็นใช้ได้ อย่างหูไม่เท่ากัน ตาไม่เท่ากัน ใหญ่ข้างเล็กข้าง หรือโครงหน้าเบี้ยว...อะไรลักษณะนี้ ไม่เอาค่ะ ทางเอมิเรตส์...ค่อนข้างเน้นมาก

อีกเรื่องหนึ่งก็คือในเรื่องของฟัน

นอกจากดัดฟันไม่ได้แล้ว... มีเขี้ยวก็ไม่ได้นะคะ..
ทำอย่างไรดี น้อง ๆ ไปให้ทันตแพทย์ตกแต่งแก้ไขได้ค่ะ สายการบินในเมืองไทยเรา หรือในแถบเอเชียก็รับนะคะมีเขี้ยว น่ารัก คิขุ แต่ว่าทางฝรั่ง หรือตะวันออกกลาง น่ากลัวนะคะ ... แดร็กคูวล่า อันนี้คือเรื่องของวัฒนธรรมด้วย ซึ่งอาจจะมีแนวคิดที่ไม่เหมือนคนไทยหรือเอเชียเรา แล้วก็ต้องฟันสวย ฟันไม่เก ฟันไม่ห่าง

การทดสอบความสามารถทางภาษาอังกฤษ
กรรมการจะให้เราทำ Group Discussion หรือ สัมภาษณ์กลุ่ม คือ ให้หัวข้อมาแล้วก็ให้เราไปคุยกันกับเพื่อนในกลุ่ม กรรมการจะเป็นผู้สังเกตการณ์ หรือเป็น Observer

รอบที่ 2 เราเรียกว่า Assessment
รอบนี้กระบวนการจะกินเวลาตั้งแต่ 8 โมงเช้าถึง 2 ทุ่ม ประกอบไปด้วยสัมภาษณ์กลุ่ม Discussion ทั้งหมด 3 กลุ่ม 3 รอบ แต่ละรอบก็จะตัดลงไปเรื่อย ๆ มี 3 หัวข้อให้คุยกัน แล้วก็จะตัดคนออกไปเรื่อย ๆ

ทีนี้ ... ในวันเดียวกัน ถ้าคุณผ่าน Group Discussion ทั้ง 3 Group ไปแล้ว คุณต้องไปสอบ English Test ที่เราพูดกันไปเมื่อสักครู่นี้ว่า TOEIC เราไม่ใช้ เรามี English Test ของเราเอง English Test ก็จะเป็น Choice ทั้งหมด ก็ทดสอบเรื่อง Vocabulary เรื่องของ Grammar รวมทั้งมี Writing การเขียนเรียงความ ซึ่งจะให้หัวข้อมาค่ะ ให้เราเขียน 200 words เราก็แสดงความสามารถทางการเขียนภาษาอังกฤษของเราไป

วิธีการเขียนเรียงความหรือ Essay คืออะไร ???

ถามว่าดูไวยากรณ์ทั้งหมดเลยไหม ส่วนหนึ่งค่ะ สามารถผิดได้บ้าง แต่อย่าให้น่าเกลียดเกินไป หลัก ๆ ก็คือ จะดูว่าตอบคำถามในหัวข้อที่ให้ไว้หรือเปล่า บางคนเขียนเป็นหน้าเลย แต่ไม่ได้ตอบคำถามที่ให้มาเลย....นั่นแปลว่าคุณยังไม่เข้าใจคำถามที่ให้มา

การจะผ่านหรือไม่ผ่านด่านภาษาอังกฤษนี้ จะต้องผ่านทั้งตัว Choice และก็ตัว Writhing นะคะ Writhing มีแค่ Fall กับ Pass เท่านั้น แต่ว่าตัว Choice มีคะแนน 40 ระดับของคนไทยจะกำหนดอยู่ที่ 30 คะแนน ผ่าน แต่ที่สิงคโปร์กำหนดที่ 34 คะแนน เนื่องจากเขาเป็นประเทศ Native English Speaker

รอบทดสอบภาษาอังกฤษนี้ จะมีการคัดผู้สมัครออกไปอีกครั้งหนึ่งค่ะ

สำหรับคนที่ผ่านรอบทดสอบภาษาอังกฤษแล้ว ก็จะต้องทำข้อสอบทางจิตวิทยาค่ะ เป็น Personality Test ซึ่งทางเอมิเรตส์จะใช้ 16 PF ทำให้สามารถรู้ได้เลยว่า ผู้สมัครเป็นคนที่มีบุคลิกภาพอย่างไร ตามที่คุณเสรีได้บอกไปว่า Personality Type ของคนเรามี 6 แบบ ก็จะดูที่ว่าคุณมี Type แบบไหน จะได้เข้าไปในรอบที่ 3 ค่ะ

รอบที่ 3 สัมภาษณ์รายบุคคล หรือ Final Interview

รอบนี้ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงต่อคน กรรมการจะถามอะไรบ้างอยากทราบไหมค่ะ ???

มันจะสืบเนื่องมาจาก Personality Test ค่ะว่า คุณเป็นอย่างไร พอคุณสอบเสร็จปุ๊บ...กรรมการจะแฟกซ์ใบคำตอบของคุณไปที่สำนักงาน...เพื่อตรวจให้คะแนน

เมื่อผลสอบของคุณออกมา สมมุติว่า...ผลออกมาแปลความหมายได้ว่า คุณเป็นคนที่ Dependent มาก

ทาง เอมิเรตส์ จะมีนักจิตวิทยามาสัมภาษณ์คุณในรอบ Final Interview เพื่อเจาะคุณในเรื่อง Dependency ว่าคุณเป็นแบบนั้น จริงหรือเปล่า ถ้าเป็นคน Dependent เป็นไงคะ

ดีหรือไม่ดี...

ไม่ดี...ใช่ไหมคะ

เพราะอะไรคะ???

เพระว่าเราต้องไปประจำที่ดูไบ อยู่ต่างบ้านต่างเมือง ไม่มีพ่อแม่พี่น้อง หรือเพื่อนฝูงใกล้ชิด

หากเราเป็นคนที่ Dependent เราก็อาจจะไม่มีความสุขในการทำงาน อาจจะเหงา คิดถึงบ้าน อย่างนี้เป็นต้น ของสายการบินอื่นจะเป็นแบบ Attitude Test จะดูเรื่อง Personality ก็คล้าย ๆ กันค่ะ

ทีนี้...พอผ่านด่านนี้ไปนะคะ จะมีการส่งเอกสารของเราไปที่สำนักงานใหญ่ที่ดูไบค่ะ ให้เขาดูหน้าตาซึ่งรอบนี้จะไม่ค่อยมีปัญหา นอกจากคุณมีปัญหาเรื่องประวัติอาชญากรรม

รอบที่ 4 ตรวจร่างกาย หรือ Medical Check up
เมื่อเราผ่านการสัมภาษณ์เข้าไปแล้วเราก็จะต้องไปตรวจร่างกาย เขาก็จะให้สลิปมายืดยาวเลย 9 แผ่น 9 หน้า ว่าให้เราไปตรวจอะไรบ้าง เขาจะกำหนดมาให้ค่ะ และก็มีการฉีดวัคซีน อย่างถ้าเรามาจากประเทศที่ยังมีโรคติดต่ออยู่ เขาก็จะกำหนดว่า คุณจะต้องฉีดวัคซีนอะไรบ้าง ต้องตรวจร่างกายรายละเอียดอย่างไรบ้าง

พอผ่านตรงนี้ได้ ก็ไม่มีปัญหา...
เข้าไปเทรนได้เลย..

และนี้ก็คือขั้นตอนในเรื่องของ การคัดเลือกค่ะ
คงแค่นี้ก่อน...นะคะ

เดี๋ยวเราจะมาเจาะประเด็นอีกทีว่า...
แต่ละขั้นตอนของการคัดเลือก
เขาดูอะไร...
และพิจารณาตรงไหน...
เป็นหลักเกณฑ์...












บทที่ 10 การสอบ Aptitude test
ในช่วงเช้า เราได้รับทราบข้อมูลต่างๆมากมาย จากท่านวิทยากร พร้อมกับการตอบปัญหาที่น้องๆ เขียนถามขึ้นมา

ช่วงเวลาจากนี้ไป เราก็จะ ลงไปในรายละเอียดทางด้านวิชาการสักเล็กน้อยครับ เพราะว่างานนี้จัดขึ้นโดยคณะนิสิตปริญญาโท จิตวิทยาอุตสาหกรรม ซึ่งวิชา Personnel Selection ก็เป็นวิชาหนึ่งที่มีการเรียนการสอนกันในหลักสูตรนี้ โดยท่านอาจารย์ ดร. รัชนีวรรณ ท่านก็เป็นอาจารย์สอนวิชานี้แก่ คณะนิสิตฯ รุ่นของกระผมเองครับ

การคัดเลือกพนักงานเพื่อให้เหมาะสมกับลักษณะงาน คงต้องย้อนกลับมาที่ท่านอาจารย์ ดร. รัชนีวรรณ อีกครับว่า นอกจากการเฟ้นหาทางด้าน Aptitude test คือ ความถนัดในงานแล้วปัจจัยอื่น ๆ ในกระบวนการของPersonnel Selection ที่ยึดหลักของ K S A O ที่มาจากคำว่า Knowledge, Skill, Ability และ Other Characteristicsในแง่ของการทดสอบทางจิตวิทยา เราเน้นความสำคัญทางด้านไหนมีรายละเอียดอย่างไรบ้าง ขอเรียนเชิญครับ

ดร.รัชนีวรรณ
หลักในการคัดเลือกก็คือ ดูตัวงานที่ต้องทำ
ดูงานที่ต้องทำว่า มีลักษณะอย่างไร เราจะต้องรู้อะไร ใช้ทักษะและความสามารถอะไร ต้องมีบุคลิกอย่างไร เพราะฉะนั้น แบบทดสอบก็จะมา Match กับสิ่งที่ต้องการวัด

บางคนบอกว่าไปสมัคร JAL ways ดีกว่า เพราะว่า JAL ways ไม่มีสอบข้อเขียน ไม่หมูหรอกนะคะดิฉันจะบอกให้ เพราะว่าสิ่งที่เขาทดแทนด้วยการสอบข้อเขียนก็คือการสัมภาษณ์ มันกลายเป็นการสอบจากการสัมภาษณ์โดยตรง เพราะฉะนั้น แทนที่คุณจะได้ผ่านกระบวนการของการอ่าน การคิด การเขียน คุณก็จะต้องตอบออกมาในทันทีทันใด หากการทดสอบเป็นการสัมภาษณ์ จะมาคิดว่า ตอบอะไรดีนะ ตอบอันนี้ดีกว่า หรืออันนั้นดีกว่า ยิ่งคิดนาน ความเงียบ จะกลายเป็นความตึงเครียดได้นะคะ

เพราะฉะนั้นก็แล้วแต่นะคะ ดิฉันไม่ได้บอกว่าแบบทดสอบไม่ดี สัมภาษณ์ดีกว่า หรือตรงข้าม หรืออะไร ดิฉันเชื่อมมั่นว่า ในองค์กรสายการบินระดับนี้ ระบบการคัดเลือกต้องผ่านกระบวนการที่ถูกต้องตามหลักวิชาการ และทำมาอย่างดีแล้ว เพราะฉะนั้นเขาก็สามารถคัดเลือกและเฟ้นหาได้ ประกอบกับผู้สมัครจำนวนเยอะมากขนาดนี้ โอกาสที่จะคัดเลือกคนพลาดคงมีน้อย เพราะฉะนั้นคุณไม่ต้องกังวล หรือคิดว่า เอ้... ไปติวดีกว่าไหม ลองไปหาโอกาสทำ 16 PF ก่อนดีไหม ที่ไหนมันมีฉันจะไปติว ไม่ต้องคิดนะคะ คือ คุณไปเตรียมอย่างอื่นดีกว่า ไม่ต้องไปเตรียมตรงนี้หรอกค่ะ

แล้วก็อย่าง Myers-Briggs ถ้าคุณเรียนจิตวิทยาคุณก็อาจจะคุ้น ๆ นะคะ (Myers-Briggs Type Indicator : MBTI เป็นแบบประเมินบุคลิกภาพ จัดแบ่งประเภทของบุคลิกภาพของคนออกเป็น 16 แบบ ) แต่มันเป็นตัวคุณจริงหรือเปล่าล่ะ คุณเคยได้ยินไหมคะ...ทุกขลาภน่ะค่ะ เหมือนเด็กบางคนอยากจะเป็นนักเรียนทุนรัฐบาลมากเลยนะคะ แล้วก็ได้ทุน จริง ๆ ได้ทุนไปเรียนเยอรมัน 10 ปี ผ่านไปนะคะ ยังไม่จบแม้ปริญญาตรี ลองคิดดูนะคะ ถ้าคุณไม่ได้ทุนนี้ ป่านนี้คุณเรียนจบปริญญาเอกไปแล้วมั้ง แต่บังเอิญโจทย์ของชีวิตมันยากเกินไป เพราะฉะนั้น ถ้าคุณจะฝืนในสิ่งที่คุณไม่ใช่ มันก็ยาก
นะคะ ชีวิตเราอยู่เพื่ออะไร ชีวิตคนเรามันก็ไม่ได้ยืนยาวสักเท่าไหร่

เพราะฉะนั้นอย่าไปถึงกับกังวลมากในเรื่องข้อสอบ หรือเรื่องของ Aptitude Test ถ้าคุณจะเตรียมตัว คุณนึกง่าย ๆ พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินต้องทำอะไร แล้วคุณคิดว่า ทำไมคุณถึงคิดว่า คุณทำสิ่งนั้นได้ดี คุณมีลักษณะอย่างไร คุณชอบช่วยเหลือคนอื่นไหม คุณทำงานกับคนอื่นได้ดีหรือเปล่า คุณชอบไปอยู่ที่แปลก ๆ ในที่ที่คุณไม่รู้จักใครสักคนเลยหรือไม่ พูดก็คนละภาษา อาหารก็คนละแบบ อะไรประมาณนั้น

ถ้าใช่...ก็ไปค่ะ
ถ้าไม่ใช่...อยากลองไปดูก็ได้ค่ะ
กระบวนการคัดเลือกจะบอกคุณเอง
ขอบคุณค่ะ

พิธีกร
อาจารย์ครับ แล้วจริง ๆมันฝึกได้ไหมครับ
หรือว่าอย่าไปพยายามฝึก ???
ถ้าเรารู้ว่าลักษณะงานที่เราจะสมัครเป็นแบบนี้ ๆ แล้วเรายังไม่เคยสัมผัสกับมันจริง ๆ เราสามารถไปฝึก เพื่อช่วยให้เรา Match กับงานได้มากขึ้นไหมครับ

ดร.รัชนีวรรณ
ดิฉันว่าได้ในระดับหนึ่งนะคะ
ยกตัวอย่างเช่น ลักษณะของงานที่คุณอยากทำอย่างลูกเรือ จะต้องติดต่อกับคนเยอะ ๆ แต่คุณเป็นคนแบบใครที่ไหนอย่างมายุ่งกับฉัน ว่างเมื่อไหร่ฉันก็ปิดประตู ไม่อ่านหนังสือก็ดูทีวี แล้วถ้าเลือกเล่นกีฬาฉันก็เลือกที่จะไปว่ายน้ำ หรือว่าไปจ๊อคกิ้ง เพราะไม่ต้องยุ่งกับใคร อันนั้นก็บอกได้ว่า มันเป็นแก่นแท้ของตัวคุณเองที่คุณไม่ชอบยุ่งกับใคร ซึ่งถ้าคุณเป็นคนแบบนั้น แล้วต้องมาทนทำงานที่มันต้องเจอคนเยอะ ๆ ตลอดเวลามันก็ยาก

แต่ถ้า... คุณเป็นคนแบบ...ฉันมันเป็นอย่างไรนะ นั่นก็ได้ นี่ก็ได้ ลองอะไรก็ได้ค่ะ สถาบันติวก็อาจช่วยคุณได้นะคะว่า คุณเหมาะหรือเปล่า...ใช่ไหม ..เพราะงานบางอย่างมันก็ไม่ใช้ความสามารถอย่างเดียว มันเป็นลักษณะของการสอดคล้องกันในหลายเรื่องหลายอย่าง

ทีนี้ในความรู้สึกว่าไปติว... ไปติว.. ความรู้สึกมันเป็นลบนะคะ แปลว่าฉันไม่สามารถ หรือแปลว่าฉัน TRICKY หน่อย ๆ หรือเปล่าถึงต้องไปติว จริง ๆ ไม่ใช่ประมาณนั้นหรอกค่ะ เวลาที่เราเข้าโรงเรียนฝึกหรือเราไปหาความรู้เพิ่มมันเป็นการเตรียมตัวเราให้พร้อมกับตัวงานมากกว่า เพราะฉะนั้นอย่างโรงเรียนที่จะช่วยกระบวนการอย่างนี้นะคะ ก็ลองไปได้ เพราะว่าไม่ใช่ติวแบบ ถามอย่างนี้ ตอบข้อ ก. ถามอย่างนี้ ตอบข้อ ข. มันคนละความรู้สึกกัน นะคะ

ขอบคุณค่ะ

ในช่วงนี้มีวิทยากรท่านใดอยากจะเสริมท่านอาจารย์บ้างไหมครับ แต่ที่ผมเห็นชัด ๆ ก็คือภาษาต่างประเทศ ถ้าติวเนี่ย น่าจะมีผลดีใช่ไหมครับ มีท่านใดจะเสริมไหมครับ

คุณธัญลักษณ์
ในฐานะที่เป็น Instructor ของโรงเรียนประเภทนี้ด้วย
นะคะ ก็เห็นด้วยกับท่านอาจารย์ในเรื่องของ Aptitude เราคงติวกันไม่ได้ อย่างที่บอกนะคะ จะมีการ fake good-fake bad ซึ่งนักจิตวิทยา เขาก็จะมีวิธีการแยกองค์ประกอบบุคลิกภาพของคนตามหลักวิชา

ที่นี้ในเรื่องของภาษา ก็อย่างที่พิธีกรบอกว่า เราสามารถที่จะติวได้ อย่างเช่น สมมุติว่าเราติวภาษาอังกฤษก็ไม่จำเป็นว่าจะเป็นแอร์โฮสเตส หรือเป็นสจ๊วต อย่างเดียวนะคะ มันเป็นความรู้เสริมที่เราสามารถจะไปทำงานอื่นหรือสามารถไปต่อยอดในด้านอื่น ๆ ได้

ที่นี้เราจะพูดถึงการติวแอร์หรือสจ๊วต อย่างแรกเลย อย่างที่ท่านอาจารย์เกริ่นมาเบื้องต้นแล้วว่า จะต้องมีบุคลิกภาพอะไรบางอย่าง ทำไมเราถึงอยากเป็นนะคะ ในฐานะที่พี่เกดเองเป็นผู้สอนในคอร์สติวเพื่อจะเป็นแอร์และสจ๊วตมาค่อนข้างเยอะ ก็จะถามน้อง ๆ คำถามแรกเลยว่า ทำไมถึงอยากเป็นแอร์และสจ๊วต หลาย ๆ คน ไม่มีคำตอบ ก็ให้ไปหาคำถอบมา เพราะหากในใบสมัครมีข้อหนึ่งเป็นคำถามว่า ทำไมถึงสนใจในอาชีพนี้ อย่างน้อยเราต้องมีคำตอบให้ตัวเราก่อนว่า ทำไมถึงสนใจ และเรามีบุคลิกภาพแบบไหนอย่างไร

การเตรียมตัวสอบแอร์และสจ๊วต ค่อนข้างจะต้องเตรียมตัวเยอะนะคะ ไม่ใช่เรื่องของการเตรียมตัวเพื่อตอบคำถามอย่างเดียว ถามแบบนี้จะตอบแบบไหน ไม่ใช่ประเภทนั้น นะคะ

แต่ว่าในเรื่องของ Appearance มันค่อนข้างจะแตกต่างจากการสมัครงานอาชีพอื่น ๆ อย่างที่น้อง ๆ ก็คงจะทราบข้อมูลบ้างแล้วจากเว็บไซต์ หรือจากเอกสารต่าง ๆ ตั้งแต่เรื่องของการแต่งกายหรือการทำผม ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าเลย จะไม่เหมือนอาชีพอื่น ๆ นะคะ

ขั้นตอนการสัมภาษณ์ก็ค่อนข้างที่จะต่างกับอาชีพอื่นๆ เท่าที่ฟังมาตั้งแต่ช่วงเช้า เราจะเห็นว่าขั้นตอนของแต่ละสายการบินนี่ค่อนข้างเยอะใช่ไหมคะ อย่างสัมภาษณ์งานทั่วไปอาจจะมีการสัมภาษณ์เพียงแค่ 1 รอบ หรือ 2 รอบ คือเต็มที่แล้ว แต่ถ้าเป็นงานสายการบิน ทุกสายการบินจะมีการสัมภาษณ์มากกว่า 2 รอบ และมีข้อเขียน เพราะฉะนั้นเรื่องของการเตรียมตัว ตรงนี้เราอาจจะต้องมีเพิ่มขึ้นมาค่ะ

แล้วก็ในเรื่องของการเตรียมตัวสัมภาษณ์ เราจะต้องเตรียมคำถามเกี่ยวกับตัวเองให้มากที่สุดนะคะ ในฐานะที่พี่เกดเองเป็นกรรมการสัมภาษณ์ด้วย แล้วก็เป็นกรรมการคัดเลือกด้วย สิ่งที่จะดูเวลาที่คนเข้ามาสัมภาษณ์นะคะ ผู้สมัครเข้ามาเราจะถามคำถามที่เป็นตัวของเขา เช่น บางทีอาจจะรู้สึกว่าไม่เห็นเกี่ยวอะไรกับงานนี้เลย บางทีถามว่า คุณใช้โทรศัพท์มือถือเดือนละเท่าไหร่ แสดงให้เห็นถึงคุณเป็นคนชอบสังคมไหม บางคนคิดไม่ถึงใช่ไหมคะ บางคนคิดว่า เอ๊ะ...มันเกี่ยวอะไร บางคนบอกว่าใช้เดือนละ 500 เพราะจะได้รู้สึกว่าเราเป็นคนประหยัด แต่จริง ๆ แล้ววัตถุประสงค์ของกรรมการมันคนละแบบกับที่คุณคิด คำถามพวกนี้แหละที่เป็นคำถามเกี่ยวกับตัวเรานะคะ

พี่เกดจะไม่เห็นด้วยกับน้อง ๆ ที่เตรียมตัวว่า ถามแบบนี้ ต้องตอบแบบนี้ เพราะแต่ละคนมี Background แตกต่างกัน ในเรื่องการศึกษา ครอบครัว ความสามารถพิเศษ เพราะฉะนั้นตรงนี้ เวลาไปสัมภาษณ์อยากให้ดึงจุดที่เป็นจุดเด่นของตัวเราออกมา แล้วการตอบคำถามนั้นอย่าพยายามตอบว่า เราได้อะไรจากองค์กรเขา แต่เราต้องตอบว่า เราทำอะไรให้กับเขาได้บ้าง อันนี้คือสิ่งสำคัญ

กรรมการถามว่าทำไมอยากเป็นแอร์ - สจ๊วต
บอกว่าอยากจะเที่ยวรอบโลก
อยากจะได้ตั๋วฟรีบ้าง
บางคนก็บอกว่ารู้สึกเป็นงานที่ท้าทาย หลาย ๆ คนมักจะมีคำตอบแบบนี้

หรืออยากที่จะพัฒนาตัวเองในเรื่องของภาษาอังกฤษ
องค์กรเหล่านี้เขาต้องการคนที่พัฒนามาแล้วนะคะ ไม่ใช่รับเข้าไปพัฒนา เฉพาะนั้น เปลี่ยนใหม่ นะคะ เราทำอะไรให้เขาได้บ้าง ซึ่งตรงนี้ไม่บอก เพราะแต่ละคนมีความสามารถไม่เหมือนกัน บางคนบอกว่าฉันพูดได้ 4-5 ภาษา เอาตรงนี้มาทำประโยชน์กับบริษัทเขาได้ เพราะเราสามารถเข้าใจรายละเอียดของผู้โดยสารทุกเชื้อชาติ เพราะเรามีความสามารถตรงนี้..ตรงนั้น

หรือเราเป็นคนที่มี Inter Personal Skill อย่างไร เวลาตอบปุ๊บ ยกตัวอย่างด้วยว่า คุณเป็นคนมีมนุษย์สัมพันธ์อย่างไร มันไม่เห็นภาพต้องมีตัวอย่างด้วยค่ะ ตัวอย่างไม่ต้องหรูหราไฮโซ เป็นตัวอย่างในชีวิตจริงของเรานี้แหละค่ะว่า เราเป็นคนที่มีใจรักบริการอย่างไร เราเป็นคนมีมนุษย์สัมพันธ์อย่างไร

การตอบคำถามนั้น...
การเตรียมตัวก็คือ เอาตัวเองออกมาให้ได้ค่ะ

พยายามกลับไปถามตัวองเยอะ ๆ เท่าที่พี่สอนมาหลาย ๆ ปี รู้สึกว่าพวกเรายังไม่ค่อยรู้จักตัวเองเท่าไหร่ คำถามอะไรที่เกี่ยวกับตัวเองมักจะตอบไม่ได้ เช่น
ทำไมเราถึงอยากเป็นแอร์ – สจ๊วต
ทำไมคุณถึงสนใจในอาชีพนี้
ความสามารถพิเศษของคุณคืออะไร ตรงนี้เรามักจะตอบตัวเองไม่ได้เราต้องกลับไปถามตัวเองในคำถามเหล่านี้ก่อนนะคะว่า
เรามีอะไรในตัวเราบ้าง แล้วก็ในเรื่องอื่นๆเราก็สามารถเตรียมตัวและศึกษาข้อมูลจากที่อื่น ๆ ได้ค่ะ

พิธีกร
การสัมภาษณ์ รายบุคคล ส่วนใหญ่กรรมจะให้เริ่มต้นด้วยการให้แนะนำตัวเอง สิ่งที่เราแนะตัวเอง หรือใช้อธิบายคุณลักษณะของตัวเอง มันอาจจะส่งผลย้อนกลับมาหาเราก็ได้ โดยเฉพาะคำตอบที่ท่องจำมาอย่างขึ้นใจจากหนังสือแนะนำการสอบสัมภาษณ์ แสดงว่าการตอบคำถามสามารถสะท้อนถึงความเป็นเนื้อในของเราได้ด้วย ใช่ไหมครับ คุณเสรี

คุณเสรี
สะท้อนถึงทุกสิ่งครับ
ดังนั้น ในการสอบสัมภาษณ์ เราควรตอบให้ได้แก่นแท้มาจากตัวเรา ให้เป็นรูปธรรมมากที่สุด จะท่องมาตอบแบบนกแก้วนกขุนทอง เป็นบล็อกมาจากตำรา หรืออาจจะใช้ข้อมูลของโรงเรียนติวก็ตาม เพราะฉะนั้นอันนี้ต้องระวัง

โทรศัพท์มือถือยังสามารถสะท้อนตัวเราออกมาได้ ซึ่งบางครั้งเราอาจจะนึกไม่ถึง มันก็เหมือนแบบทดสอบที่เขาใช้ทดสอบเราเขาจะ Test อะไรเราไม่รู้หรอกลึกๆแล้วIce Bottomภูเขาน้ำแข็งที่ซ่อนอยู่ลึก ๆ นั้น มีอะไรซ่อนอยู่เยอะแยะมากมาย ที่เราเองเราก็ไม่รู้ว่าในนั้นมีอะไรนะครับ

แล้วการทำ Group Discussion ก็มักเป็นที่นิยมกันในยุคนี้นะครับ ตราบใดที่คุณยังไม่มีข้อมูลข่าวสารที่จะไปแชร์กับคนอื่นได้ คุณก็ตายตั้งแต่ต้นแล้ว เพราะฉะนั้น เวลาผมสัมภาษณ์ ผมมักจะถามว่า เมื่อเช้าหรือวันนี้คุณได้อ่านหนังสือพิมพ์หรือเปล่า หรือดูข่าวทีวีหรือเปล่า ถ้าหากว่าท่านเป็นคนที่แทบจะไม่สนใจกับข่าวสารบ้านเมือง หรือไม่สนใจข่าวสารของสังคม แล้วคุณจะมีอะไรไปเปิดประเด็นกับเขาล่ะ

เพราะฉะนั้นเราจะต้องเป็นผู้ที่รับข่าวสารอยู่ตลอดเวลา จะเปิดไทยรัฐ จะเปิดหน้าดาราก็ทำได้ หน้า 3, 4, 5 ก็ต้องดูด้วยว่าบ้านเมืองเราไปถึงไหนแล้ว ข่าวสารบ้านเมืองมันเป็นอย่างไร ซึ่งเรื่องนี้มันเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะประเด็นที่เขาจะเปิดในการทำ Group Discussion เราไม่มีทางรู้เลยว่า กรรมการจะโยนเรื่องอะไรมาให้เรา Discuss แต่อย่างน้อยเราก็มีข้อมูลพวกนี้เป็นพื้นฐาน ทำให้เรามีอำนาจในการต่อรองหรือ Control กลุ่มได้ในระดับที่เหมาะสมครับ
ขอบคุณครับ

พิธีกร
แล้วนี่ก็เป็นคำตอบที่ชัดเจนนะครับว่า การที่พยายามไปติวแบบทดสอบทางด้านจิตวิทยาต่าง ๆ อาจจะเป็นเสมือนดาบสองคม หรือเป็นผลเสียที่สามารถพุ่งย้อนกลับเข้ามาหาตัวเราได้

เพราะฉะนั้นพยายามเป็นตัวของตัวเองให้มากที่สุด สิ่งสำคัญก็คือ ความรู้รอบตัวที่จะต้องไปใฝ่หา แล้วก็ทักษะ
อื่น ๆ ที่สัมพันธ์กับงาน ถ้าไม่มีหรือคิดว่าตัวเองมีน้อยเกินไป ก็สามารถที่จะฝึกฝนตามสถาบันที่ให้การอบรมในด้านต่าง ๆ เช่น ภาษาอังกฤษ หรือ บุคลิกภาพ ซึ่งตรงนี้สามารถที่จะพัฒนาได้ครับ

ถ้ามีความใฝ่ฝันที่อยากจะเป็นพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน น้องๆคงจะต้องเตรียมตัวในด้านที่เหมาะสมกับงานนะครับ

ส่วนที่เป็นในด้านใต้ของภูเขาน้ำแข็งหรือทางจิตวิทยา พยายามอย่าไปยุ่งกับมันจะดีกว่า เพราะฉะนั้นถ้าจะเรียนเสริมก็เรียนในสิ่งที่ควรจะเรียนดีกว่านะครับ

exteem said...

บทที่ 5 แอร์-สจ๊วต Emirates
เริ่มจะมองเห็นภาพแล้วนะครับว่า พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินของการบินไทยมีลักษณะในการทำงานเป็นอย่างไร และอย่างที่คุณเสรีได้อธิบายว่า ทำไมสายการบินต่างชาติ ถึงได้มุ่งเป้ามารับสมัครคนไทยเข้าไปทำงาน ก็ด้วยเสน่ห์ของคนไทย และการมี Service Mind ที่ดูจะมีมากกว่าถ้าเปรียบเทียบกับชนชาติอื่น ๆ เพราะฉะนั้นเราเริ่มได้เห็นวัฒนธรรมขององค์กรกันบ้างแล้วนะครับว่า สายการบินบ้านเรามีความโดดเด่นในเรื่องใดเป็นพิเศษ

ลำดับต่อไป เราก็คงจะไปเรียนรู้สายการบินอื่น ๆ กันบ้าง เอ๊ะ...จะเหมาะกับเราไหม....ลองมาดูนะครับว่าสายการบินจากดินแดนอาหรับ เขามีการคัดเลือกบุคลากรกันอย่างไรบ้าง ลำดับต่อไปขอเชิญ คุณธัญลักษณ์ ครับ

คุณธัญลักษณ์
กราบสวัสดีท่านประธาน รองศาสตราจารย์จำรอง เงินดี ท่านอาจารย์ ดร.รัชนีวรรณ และวิทยากรทุกท่าน สวัสดีน้องๆที่เข้าร่วมรับฟังทุกๆคนนะคะ ขออนุญาตแทนตัวเองว่าพี่เกด นะคะ

วันนี้จะขอพูดเรื่องของสายการบิน เอมิเรตส์...
มีใครรู้จักสายการบิน เอมิเรตส์ บ้างไหมคะ.....

.......นึกว่าไม่มี จะเดินออกไปก่อนเลย
...ก็พอมีบ้างนะคะ
ที่นี้ ทราบอะไรกันบ้างเกี่ยวกับสายการบินนี้ ???

สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ อยู่ตรงไหนของโลกคะ...ตะวันออกกลางนะคะ เมืองหลวงชื่อ อาบูดาบี ได้ยินแว่ว ๆ จากทางนี้ สำหรับลูกเรือคนไทยของสายการบินเอมิเรตส์เราจะไป base กันที่เมือง ดูไบ ซึ่งเป็นเมืองที่มีความสำคัญทางด้านเศรษฐกิจการค้า และการลงทุน
ก่อนอื่น พี่เกดอยากจะพูดถึงคุณสมบัติของผู้สมัครหรือผู้ที่สนใจสมัครก่อนนะคะ เนื่องจากว่าตอนนี้พี่เกดเองก็ทำหน้าที่คัดเลือกลูกเรือ คือทั้งแอร์และสจ๊วด ให้กับทางสายการบินนี้ ถ้าเกิดวันนี้น้อง ๆ มีคำถามก็สามารถถามได้ คราวนี้จะพูดถึงเรื่องทั่ว ๆไปก่อน

คุณสมบัติเป็นอย่างไรคะ???
อย่างแรกเลย.... ได้ทั้งเพศชายและเพศหญิงนะคะ
แต่ว่าเราจะต้องมั่นใจก่อนนะคะว่า...เราเป็นเพศไหนกันแน่...

อายุขั้นต่ำจะต้อง 21 ปี เนื่องจากว่าเราจะต้องไปอยู่ที่ต่างประเทศ ต้องไป base ที่ดูไบ เพราะฉะนั้นเราต้องบรรลุนิติภาวะแล้วค่ะ

ส่วนเรื่องของการศึกษา
จบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 สาขาอะไรก็ได้ทั้งหมด ถ้าคุณเป็นคนที่มีใจรักบริการอย่างที่ท่านอาจารย์ได้กล่าวไปแล้ว ซึ่งเป็นคุณสมบัติพื้นฐานที่มีติดมากับตัวเรา

อันดับที่ 3 เรื่องของความสูง
ต้องกำหนดความสูงด้วย ไม่ว่า แอร์หรือสจ๊วต ทุกสายการบินต้องกำหนดความสูง
ของ เอมิเรตส์ กำหนดความสูงเพียง 158 ซม สำหรับผู้หญิงค่ะ หรือเขย่งเท้าเอื้อมแตะนะคะ ภาษาอังกฤษเราเรียกว่า Arm Reach แตะที่ 2 เมตร 12 เซนติเมตร
เพราะอะไร ทำไมต้องกำหนดความสูงด้วยล่ะ ???

ความสูงตรงนี้คือ ความสูงของที่เก็บสัมภาระเหนือศีรษะในเครื่องบินค่ะ เป็นความสูงที่เราสามารถเอื้อมถึงอุปกรณ์เมื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน หรืออุปกรณ์อำนวยความสะดวกแก่ผู้โดยสาร เวลาที่เราเข้าไปคัดเลือก เขาจะทดสอบ Arm Reach ก่อนเลย วัดความสูงก่อน แล้วก็ดูว่าคุณสามารถสัมผัสเส้นแดงของเราที่ 2 เมตร 12 เซนติเมตร ได้ไหม...เพราะฉะนั้น เดี๋ยวหลังจากวันนี้แล้ว ไปซ้อมกันที่บ้านได้นะคะ

ทำอย่างไรล่ะ???

ถอดรองเท้าค่ะ แล้วเขย่งเท้าได้สุดเอื้อมแขนนะคะ ปลายนิ้วเราจะต้องสัมผัสความสูงได้ที่ 2 เมตร 12 เซนติเมตร ปลายนิ้วนะคะ...เน้น...ไม่ใช่ปลายเล็บ

ข้อ 4 ค่ะ ภาษาอังกฤษอยู่ในเกณฑ์ดีมาก
เพราะว่าเอมิเรตส์เป็นสายการบิน International และ Professional เหมือนกับทุก ๆ สายการบินนะคะ เนื่องจากว่า เอมิเรตส์ รับลูกเรือทั่วโลกเลย ประมาณ 100 กว่าสัญชาติ และผู้โดยสารก็หลากหลายสัญชาติมาก ไม่ใช่เฉพาะตะวันออกกลาง ยังมีทั้งยุโรป เอเชีย อินเดีย อะไรต่าง ๆ เยอะไปหมดเลย

..เพราะฉะนั้นภาษากลางที่เราใช้ก็คือภาษาอังกฤษ หรือใครมีความสามารถภาษาอาหรับก็จะได้รับการพิจารณาเป็นพิเศษ

ทุกคนทำหน้าสงสัย...จะมีได้ไงคะ
ไม่แน่...บางคนก็อาจจะพูดได้ใช่ไหมคะ
แต่อันดับแรกเลยคือ ภาษาอังกฤษต้องอยู่ในเกณฑ์ดี

บางคนถามว่า แล้วเราจะมีเกณฑ์ในการวัดอย่างไรคะ ส่วนใหญ่สายการบินเขาจะขอคะแนนผลสอบ TOEIC ด้วยทุกคนรู้จัก TOEIC ใช่ไหมคะ

แต่ เอมิเรตส์…ไม่ขอคะแนน TOEIC เพราะอะไร ???
เรามีข้อสอบของเราเองค่ะ ซึ่งถ้าเทียบกับ TOEIC แล้วควรจะได้อยู่ในเกณฑ์ 800 คะแนน
ข้อที่ 5 นี่ก็สำคัญ ค่ะ
เรื่องของสุขภาพร่างกายต้องแข็งแรง
สายตาสั้นได้มั้ย ??? ได้ค่ะ แต่ห้ามสวมใส่แว่นตา หรือสามารถทำเลสิก ก็ได้

สำหรับเหล็กดัดฟันที่สมัยนี้กำลังฮิตมาก อาทิตย์หนึ่งมีเจ็ดสี เปลี่ยนสีทุกวันเลย ลูกเรือจะดัดฟันไม่ได้นะคะ สำหรับทุกสายการบินเลย ถ้าเกิดว่าอยากดัดฟันสามารถดัดข้างในได้ ที่ยิ้มออกมาแล้วจะไม่เห็นเหล็กดัด

ก็ประมาณแสนกว่าบาท....ค่ะ

อันดับที่ 6 ต้องสามารถทำงานประจำที่เมืองดูไบ
คือเราจะต้องไป base ที่นู่นเลย ใครที่รู้ว่าตัวเองเป็นคนคิดถึงบ้าน ติดคุณพ่อคุณแม่ อันนี้ต้องคิดดี ๆ นะคะ

อันดับที่ 7 ประสบการณ์
ถ้าเรามีประสบการณ์ทางด้านงานบริการก็จะได้รับพิจารณาเป็นพิเศษ อาจจะเป็นงานที่นอกเหนือจากสายการบินก็ได้ จะเป็นโรงแรม ธุรกิจการอื่น ๆ ก็โอเคค่ะ
คราวนี้เรามาดูวิธีการสมัคร

ถ้าเราสนใจจะสมัครต้องทำอย่างไร???

อันดับแรก Internet Online ค่ะ

เข้าไปดูที่ http://www.emiratesairlinesgroup เข้าไปสมัครได้เลย แล้ว attach ไฟล์เอกสารของเราได้ด้วย

อันดับที่ 2 ก็คือ เอมิเรตส์ให้โอกาสสำหรับสถาบันฝึกอบรมพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน สามารถสมัครผ่านสถาบันเหล่านี้ได้ เฉพาะสถาบันที่มีสัญญากับเอมิเรตส์อยู่ ซึ่งตอนนี้พี่เกดเองก็ทำให้กับทางสายการบินเอมิเรตส์โดยสมัครผ่านทาง Flying KAS ได้ค่ะ ซึ่งเรามีขั้นตอนการคัดเลือกในเบื้องต้นให้กับทางเอมิเรตส์ด้วย

สรุปแล้ว สมัครได้ถึง 2 ทางค่ะ

ขั้นตอนการคัดเลือกลูกเรือของเอมิเรตส์

รอบแรก คือ Pre-Screening

รอบนี้มีผู้เข้าร่วมคัดเลือกครั้งหนึ่งประมาณ 2,500 คน
ได้เป็นลูกเรือกันกี่คนรู้ไหมค่ะ

...200 300 ???
20 คนค่ะ น้อง ๆ

...โอ้โหกันใหญ่เลย
อย่างแรกที่เราดูคือ เรื่องของ Appearance
สำหรับเอมิเรตส์นั้น ต้อง Balancing Face ไม่ต้องสวย...ไม่ต้องหล่อค่ะ แต่คุณต้องมีโครงหน้า 2 ข้างเท่ากัน หน้าไม่แปลกเป็นใช้ได้ อย่างหูไม่เท่ากัน ตาไม่เท่ากัน ใหญ่ข้างเล็กข้าง หรือโครงหน้าเบี้ยว...อะไรลักษณะนี้ ไม่เอาค่ะ ทางเอมิเรตส์...ค่อนข้างเน้นมาก

อีกเรื่องหนึ่งก็คือในเรื่องของฟัน

นอกจากดัดฟันไม่ได้แล้ว... มีเขี้ยวก็ไม่ได้นะคะ..
ทำอย่างไรดี น้อง ๆ ไปให้ทันตแพทย์ตกแต่งแก้ไขได้ค่ะ สายการบินในเมืองไทยเรา หรือในแถบเอเชียก็รับนะคะมีเขี้ยว น่ารัก คิขุ แต่ว่าทางฝรั่ง หรือตะวันออกกลาง น่ากลัวนะคะ ... แดร็กคูวล่า อันนี้คือเรื่องของวัฒนธรรมด้วย ซึ่งอาจจะมีแนวคิดที่ไม่เหมือนคนไทยหรือเอเชียเรา แล้วก็ต้องฟันสวย ฟันไม่เก ฟันไม่ห่าง

การทดสอบความสามารถทางภาษาอังกฤษ
กรรมการจะให้เราทำ Group Discussion หรือ สัมภาษณ์กลุ่ม คือ ให้หัวข้อมาแล้วก็ให้เราไปคุยกันกับเพื่อนในกลุ่ม กรรมการจะเป็นผู้สังเกตการณ์ หรือเป็น Observer

รอบที่ 2 เราเรียกว่า Assessment
รอบนี้กระบวนการจะกินเวลาตั้งแต่ 8 โมงเช้าถึง 2 ทุ่ม ประกอบไปด้วยสัมภาษณ์กลุ่ม Discussion ทั้งหมด 3 กลุ่ม 3 รอบ แต่ละรอบก็จะตัดลงไปเรื่อย ๆ มี 3 หัวข้อให้คุยกัน แล้วก็จะตัดคนออกไปเรื่อย ๆ

ทีนี้ ... ในวันเดียวกัน ถ้าคุณผ่าน Group Discussion ทั้ง 3 Group ไปแล้ว คุณต้องไปสอบ English Test ที่เราพูดกันไปเมื่อสักครู่นี้ว่า TOEIC เราไม่ใช้ เรามี English Test ของเราเอง English Test ก็จะเป็น Choice ทั้งหมด ก็ทดสอบเรื่อง Vocabulary เรื่องของ Grammar รวมทั้งมี Writing การเขียนเรียงความ ซึ่งจะให้หัวข้อมาค่ะ ให้เราเขียน 200 words เราก็แสดงความสามารถทางการเขียนภาษาอังกฤษของเราไป

วิธีการเขียนเรียงความหรือ Essay คืออะไร ???

ถามว่าดูไวยากรณ์ทั้งหมดเลยไหม ส่วนหนึ่งค่ะ สามารถผิดได้บ้าง แต่อย่าให้น่าเกลียดเกินไป หลัก ๆ ก็คือ จะดูว่าตอบคำถามในหัวข้อที่ให้ไว้หรือเปล่า บางคนเขียนเป็นหน้าเลย แต่ไม่ได้ตอบคำถามที่ให้มาเลย....นั่นแปลว่าคุณยังไม่เข้าใจคำถามที่ให้มา

การจะผ่านหรือไม่ผ่านด่านภาษาอังกฤษนี้ จะต้องผ่านทั้งตัว Choice และก็ตัว Writhing นะคะ Writhing มีแค่ Fall กับ Pass เท่านั้น แต่ว่าตัว Choice มีคะแนน 40 ระดับของคนไทยจะกำหนดอยู่ที่ 30 คะแนน ผ่าน แต่ที่สิงคโปร์กำหนดที่ 34 คะแนน เนื่องจากเขาเป็นประเทศ Native English Speaker

รอบทดสอบภาษาอังกฤษนี้ จะมีการคัดผู้สมัครออกไปอีกครั้งหนึ่งค่ะ

สำหรับคนที่ผ่านรอบทดสอบภาษาอังกฤษแล้ว ก็จะต้องทำข้อสอบทางจิตวิทยาค่ะ เป็น Personality Test ซึ่งทางเอมิเรตส์จะใช้ 16 PF ทำให้สามารถรู้ได้เลยว่า ผู้สมัครเป็นคนที่มีบุคลิกภาพอย่างไร ตามที่คุณเสรีได้บอกไปว่า Personality Type ของคนเรามี 6 แบบ ก็จะดูที่ว่าคุณมี Type แบบไหน จะได้เข้าไปในรอบที่ 3 ค่ะ

รอบที่ 3 สัมภาษณ์รายบุคคล หรือ Final Interview

รอบนี้ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงต่อคน กรรมการจะถามอะไรบ้างอยากทราบไหมค่ะ ???

มันจะสืบเนื่องมาจาก Personality Test ค่ะว่า คุณเป็นอย่างไร พอคุณสอบเสร็จปุ๊บ...กรรมการจะแฟกซ์ใบคำตอบของคุณไปที่สำนักงาน...เพื่อตรวจให้คะแนน

เมื่อผลสอบของคุณออกมา สมมุติว่า...ผลออกมาแปลความหมายได้ว่า คุณเป็นคนที่ Dependent มาก

ทาง เอมิเรตส์ จะมีนักจิตวิทยามาสัมภาษณ์คุณในรอบ Final Interview เพื่อเจาะคุณในเรื่อง Dependency ว่าคุณเป็นแบบนั้น จริงหรือเปล่า ถ้าเป็นคน Dependent เป็นไงคะ

ดีหรือไม่ดี...

ไม่ดี...ใช่ไหมคะ

เพราะอะไรคะ???

เพระว่าเราต้องไปประจำที่ดูไบ อยู่ต่างบ้านต่างเมือง ไม่มีพ่อแม่พี่น้อง หรือเพื่อนฝูงใกล้ชิด

หากเราเป็นคนที่ Dependent เราก็อาจจะไม่มีความสุขในการทำงาน อาจจะเหงา คิดถึงบ้าน อย่างนี้เป็นต้น ของสายการบินอื่นจะเป็นแบบ Attitude Test จะดูเรื่อง Personality ก็คล้าย ๆ กันค่ะ

ทีนี้...พอผ่านด่านนี้ไปนะคะ จะมีการส่งเอกสารของเราไปที่สำนักงานใหญ่ที่ดูไบค่ะ ให้เขาดูหน้าตาซึ่งรอบนี้จะไม่ค่อยมีปัญหา นอกจากคุณมีปัญหาเรื่องประวัติอาชญากรรม

รอบที่ 4 ตรวจร่างกาย หรือ Medical Check up
เมื่อเราผ่านการสัมภาษณ์เข้าไปแล้วเราก็จะต้องไปตรวจร่างกาย เขาก็จะให้สลิปมายืดยาวเลย 9 แผ่น 9 หน้า ว่าให้เราไปตรวจอะไรบ้าง เขาจะกำหนดมาให้ค่ะ และก็มีการฉีดวัคซีน อย่างถ้าเรามาจากประเทศที่ยังมีโรคติดต่ออยู่ เขาก็จะกำหนดว่า คุณจะต้องฉีดวัคซีนอะไรบ้าง ต้องตรวจร่างกายรายละเอียดอย่างไรบ้าง

พอผ่านตรงนี้ได้ ก็ไม่มีปัญหา...
เข้าไปเทรนได้เลย..

และนี้ก็คือขั้นตอนในเรื่องของ การคัดเลือกค่ะ
คงแค่นี้ก่อน...นะคะ

เดี๋ยวเราจะมาเจาะประเด็นอีกทีว่า...
แต่ละขั้นตอนของการคัดเลือก
เขาดูอะไร...
และพิจารณาตรงไหน...
เป็นหลักเกณฑ์...












บทที่ 10 การสอบ Aptitude test
ในช่วงเช้า เราได้รับทราบข้อมูลต่างๆมากมาย จากท่านวิทยากร พร้อมกับการตอบปัญหาที่น้องๆ เขียนถามขึ้นมา

ช่วงเวลาจากนี้ไป เราก็จะ ลงไปในรายละเอียดทางด้านวิชาการสักเล็กน้อยครับ เพราะว่างานนี้จัดขึ้นโดยคณะนิสิตปริญญาโท จิตวิทยาอุตสาหกรรม ซึ่งวิชา Personnel Selection ก็เป็นวิชาหนึ่งที่มีการเรียนการสอนกันในหลักสูตรนี้ โดยท่านอาจารย์ ดร. รัชนีวรรณ ท่านก็เป็นอาจารย์สอนวิชานี้แก่ คณะนิสิตฯ รุ่นของกระผมเองครับ

การคัดเลือกพนักงานเพื่อให้เหมาะสมกับลักษณะงาน คงต้องย้อนกลับมาที่ท่านอาจารย์ ดร. รัชนีวรรณ อีกครับว่า นอกจากการเฟ้นหาทางด้าน Aptitude test คือ ความถนัดในงานแล้วปัจจัยอื่น ๆ ในกระบวนการของPersonnel Selection ที่ยึดหลักของ K S A O ที่มาจากคำว่า Knowledge, Skill, Ability และ Other Characteristicsในแง่ของการทดสอบทางจิตวิทยา เราเน้นความสำคัญทางด้านไหนมีรายละเอียดอย่างไรบ้าง ขอเรียนเชิญครับ

ดร.รัชนีวรรณ
หลักในการคัดเลือกก็คือ ดูตัวงานที่ต้องทำ
ดูงานที่ต้องทำว่า มีลักษณะอย่างไร เราจะต้องรู้อะไร ใช้ทักษะและความสามารถอะไร ต้องมีบุคลิกอย่างไร เพราะฉะนั้น แบบทดสอบก็จะมา Match กับสิ่งที่ต้องการวัด

บางคนบอกว่าไปสมัคร JAL ways ดีกว่า เพราะว่า JAL ways ไม่มีสอบข้อเขียน ไม่หมูหรอกนะคะดิฉันจะบอกให้ เพราะว่าสิ่งที่เขาทดแทนด้วยการสอบข้อเขียนก็คือการสัมภาษณ์ มันกลายเป็นการสอบจากการสัมภาษณ์โดยตรง เพราะฉะนั้น แทนที่คุณจะได้ผ่านกระบวนการของการอ่าน การคิด การเขียน คุณก็จะต้องตอบออกมาในทันทีทันใด หากการทดสอบเป็นการสัมภาษณ์ จะมาคิดว่า ตอบอะไรดีนะ ตอบอันนี้ดีกว่า หรืออันนั้นดีกว่า ยิ่งคิดนาน ความเงียบ จะกลายเป็นความตึงเครียดได้นะคะ

เพราะฉะนั้นก็แล้วแต่นะคะ ดิฉันไม่ได้บอกว่าแบบทดสอบไม่ดี สัมภาษณ์ดีกว่า หรือตรงข้าม หรืออะไร ดิฉันเชื่อมมั่นว่า ในองค์กรสายการบินระดับนี้ ระบบการคัดเลือกต้องผ่านกระบวนการที่ถูกต้องตามหลักวิชาการ และทำมาอย่างดีแล้ว เพราะฉะนั้นเขาก็สามารถคัดเลือกและเฟ้นหาได้ ประกอบกับผู้สมัครจำนวนเยอะมากขนาดนี้ โอกาสที่จะคัดเลือกคนพลาดคงมีน้อย เพราะฉะนั้นคุณไม่ต้องกังวล หรือคิดว่า เอ้... ไปติวดีกว่าไหม ลองไปหาโอกาสทำ 16 PF ก่อนดีไหม ที่ไหนมันมีฉันจะไปติว ไม่ต้องคิดนะคะ คือ คุณไปเตรียมอย่างอื่นดีกว่า ไม่ต้องไปเตรียมตรงนี้หรอกค่ะ

แล้วก็อย่าง Myers-Briggs ถ้าคุณเรียนจิตวิทยาคุณก็อาจจะคุ้น ๆ นะคะ (Myers-Briggs Type Indicator : MBTI เป็นแบบประเมินบุคลิกภาพ จัดแบ่งประเภทของบุคลิกภาพของคนออกเป็น 16 แบบ ) แต่มันเป็นตัวคุณจริงหรือเปล่าล่ะ คุณเคยได้ยินไหมคะ...ทุกขลาภน่ะค่ะ เหมือนเด็กบางคนอยากจะเป็นนักเรียนทุนรัฐบาลมากเลยนะคะ แล้วก็ได้ทุน จริง ๆ ได้ทุนไปเรียนเยอรมัน 10 ปี ผ่านไปนะคะ ยังไม่จบแม้ปริญญาตรี ลองคิดดูนะคะ ถ้าคุณไม่ได้ทุนนี้ ป่านนี้คุณเรียนจบปริญญาเอกไปแล้วมั้ง แต่บังเอิญโจทย์ของชีวิตมันยากเกินไป เพราะฉะนั้น ถ้าคุณจะฝืนในสิ่งที่คุณไม่ใช่ มันก็ยาก
นะคะ ชีวิตเราอยู่เพื่ออะไร ชีวิตคนเรามันก็ไม่ได้ยืนยาวสักเท่าไหร่

เพราะฉะนั้นอย่าไปถึงกับกังวลมากในเรื่องข้อสอบ หรือเรื่องของ Aptitude Test ถ้าคุณจะเตรียมตัว คุณนึกง่าย ๆ พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินต้องทำอะไร แล้วคุณคิดว่า ทำไมคุณถึงคิดว่า คุณทำสิ่งนั้นได้ดี คุณมีลักษณะอย่างไร คุณชอบช่วยเหลือคนอื่นไหม คุณทำงานกับคนอื่นได้ดีหรือเปล่า คุณชอบไปอยู่ที่แปลก ๆ ในที่ที่คุณไม่รู้จักใครสักคนเลยหรือไม่ พูดก็คนละภาษา อาหารก็คนละแบบ อะไรประมาณนั้น

ถ้าใช่...ก็ไปค่ะ
ถ้าไม่ใช่...อยากลองไปดูก็ได้ค่ะ
กระบวนการคัดเลือกจะบอกคุณเอง
ขอบคุณค่ะ

พิธีกร
อาจารย์ครับ แล้วจริง ๆมันฝึกได้ไหมครับ
หรือว่าอย่าไปพยายามฝึก ???
ถ้าเรารู้ว่าลักษณะงานที่เราจะสมัครเป็นแบบนี้ ๆ แล้วเรายังไม่เคยสัมผัสกับมันจริง ๆ เราสามารถไปฝึก เพื่อช่วยให้เรา Match กับงานได้มากขึ้นไหมครับ

ดร.รัชนีวรรณ
ดิฉันว่าได้ในระดับหนึ่งนะคะ
ยกตัวอย่างเช่น ลักษณะของงานที่คุณอยากทำอย่างลูกเรือ จะต้องติดต่อกับคนเยอะ ๆ แต่คุณเป็นคนแบบใครที่ไหนอย่างมายุ่งกับฉัน ว่างเมื่อไหร่ฉันก็ปิดประตู ไม่อ่านหนังสือก็ดูทีวี แล้วถ้าเลือกเล่นกีฬาฉันก็เลือกที่จะไปว่ายน้ำ หรือว่าไปจ๊อคกิ้ง เพราะไม่ต้องยุ่งกับใคร อันนั้นก็บอกได้ว่า มันเป็นแก่นแท้ของตัวคุณเองที่คุณไม่ชอบยุ่งกับใคร ซึ่งถ้าคุณเป็นคนแบบนั้น แล้วต้องมาทนทำงานที่มันต้องเจอคนเยอะ ๆ ตลอดเวลามันก็ยาก

แต่ถ้า... คุณเป็นคนแบบ...ฉันมันเป็นอย่างไรนะ นั่นก็ได้ นี่ก็ได้ ลองอะไรก็ได้ค่ะ สถาบันติวก็อาจช่วยคุณได้นะคะว่า คุณเหมาะหรือเปล่า...ใช่ไหม ..เพราะงานบางอย่างมันก็ไม่ใช้ความสามารถอย่างเดียว มันเป็นลักษณะของการสอดคล้องกันในหลายเรื่องหลายอย่าง

ทีนี้ในความรู้สึกว่าไปติว... ไปติว.. ความรู้สึกมันเป็นลบนะคะ แปลว่าฉันไม่สามารถ หรือแปลว่าฉัน TRICKY หน่อย ๆ หรือเปล่าถึงต้องไปติว จริง ๆ ไม่ใช่ประมาณนั้นหรอกค่ะ เวลาที่เราเข้าโรงเรียนฝึกหรือเราไปหาความรู้เพิ่มมันเป็นการเตรียมตัวเราให้พร้อมกับตัวงานมากกว่า เพราะฉะนั้นอย่างโรงเรียนที่จะช่วยกระบวนการอย่างนี้นะคะ ก็ลองไปได้ เพราะว่าไม่ใช่ติวแบบ ถามอย่างนี้ ตอบข้อ ก. ถามอย่างนี้ ตอบข้อ ข. มันคนละความรู้สึกกัน นะคะ

ขอบคุณค่ะ

ในช่วงนี้มีวิทยากรท่านใดอยากจะเสริมท่านอาจารย์บ้างไหมครับ แต่ที่ผมเห็นชัด ๆ ก็คือภาษาต่างประเทศ ถ้าติวเนี่ย น่าจะมีผลดีใช่ไหมครับ มีท่านใดจะเสริมไหมครับ

คุณธัญลักษณ์
ในฐานะที่เป็น Instructor ของโรงเรียนประเภทนี้ด้วย
นะคะ ก็เห็นด้วยกับท่านอาจารย์ในเรื่องของ Aptitude เราคงติวกันไม่ได้ อย่างที่บอกนะคะ จะมีการ fake good-fake bad ซึ่งนักจิตวิทยา เขาก็จะมีวิธีการแยกองค์ประกอบบุคลิกภาพของคนตามหลักวิชา

ที่นี้ในเรื่องของภาษา ก็อย่างที่พิธีกรบอกว่า เราสามารถที่จะติวได้ อย่างเช่น สมมุติว่าเราติวภาษาอังกฤษก็ไม่จำเป็นว่าจะเป็นแอร์โฮสเตส หรือเป็นสจ๊วต อย่างเดียวนะคะ มันเป็นความรู้เสริมที่เราสามารถจะไปทำงานอื่นหรือสามารถไปต่อยอดในด้านอื่น ๆ ได้

ที่นี้เราจะพูดถึงการติวแอร์หรือสจ๊วต อย่างแรกเลย อย่างที่ท่านอาจารย์เกริ่นมาเบื้องต้นแล้วว่า จะต้องมีบุคลิกภาพอะไรบางอย่าง ทำไมเราถึงอยากเป็นนะคะ ในฐานะที่พี่เกดเองเป็นผู้สอนในคอร์สติวเพื่อจะเป็นแอร์และสจ๊วตมาค่อนข้างเยอะ ก็จะถามน้อง ๆ คำถามแรกเลยว่า ทำไมถึงอยากเป็นแอร์และสจ๊วต หลาย ๆ คน ไม่มีคำตอบ ก็ให้ไปหาคำถอบมา เพราะหากในใบสมัครมีข้อหนึ่งเป็นคำถามว่า ทำไมถึงสนใจในอาชีพนี้ อย่างน้อยเราต้องมีคำตอบให้ตัวเราก่อนว่า ทำไมถึงสนใจ และเรามีบุคลิกภาพแบบไหนอย่างไร

การเตรียมตัวสอบแอร์และสจ๊วต ค่อนข้างจะต้องเตรียมตัวเยอะนะคะ ไม่ใช่เรื่องของการเตรียมตัวเพื่อตอบคำถามอย่างเดียว ถามแบบนี้จะตอบแบบไหน ไม่ใช่ประเภทนั้น นะคะ

แต่ว่าในเรื่องของ Appearance มันค่อนข้างจะแตกต่างจากการสมัครงานอาชีพอื่น ๆ อย่างที่น้อง ๆ ก็คงจะทราบข้อมูลบ้างแล้วจากเว็บไซต์ หรือจากเอกสารต่าง ๆ ตั้งแต่เรื่องของการแต่งกายหรือการทำผม ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าเลย จะไม่เหมือนอาชีพอื่น ๆ นะคะ

ขั้นตอนการสัมภาษณ์ก็ค่อนข้างที่จะต่างกับอาชีพอื่นๆ เท่าที่ฟังมาตั้งแต่ช่วงเช้า เราจะเห็นว่าขั้นตอนของแต่ละสายการบินนี่ค่อนข้างเยอะใช่ไหมคะ อย่างสัมภาษณ์งานทั่วไปอาจจะมีการสัมภาษณ์เพียงแค่ 1 รอบ หรือ 2 รอบ คือเต็มที่แล้ว แต่ถ้าเป็นงานสายการบิน ทุกสายการบินจะมีการสัมภาษณ์มากกว่า 2 รอบ และมีข้อเขียน เพราะฉะนั้นเรื่องของการเตรียมตัว ตรงนี้เราอาจจะต้องมีเพิ่มขึ้นมาค่ะ

แล้วก็ในเรื่องของการเตรียมตัวสัมภาษณ์ เราจะต้องเตรียมคำถามเกี่ยวกับตัวเองให้มากที่สุดนะคะ ในฐานะที่พี่เกดเองเป็นกรรมการสัมภาษณ์ด้วย แล้วก็เป็นกรรมการคัดเลือกด้วย สิ่งที่จะดูเวลาที่คนเข้ามาสัมภาษณ์นะคะ ผู้สมัครเข้ามาเราจะถามคำถามที่เป็นตัวของเขา เช่น บางทีอาจจะรู้สึกว่าไม่เห็นเกี่ยวอะไรกับงานนี้เลย บางทีถามว่า คุณใช้โทรศัพท์มือถือเดือนละเท่าไหร่ แสดงให้เห็นถึงคุณเป็นคนชอบสังคมไหม บางคนคิดไม่ถึงใช่ไหมคะ บางคนคิดว่า เอ๊ะ...มันเกี่ยวอะไร บางคนบอกว่าใช้เดือนละ 500 เพราะจะได้รู้สึกว่าเราเป็นคนประหยัด แต่จริง ๆ แล้ววัตถุประสงค์ของกรรมการมันคนละแบบกับที่คุณคิด คำถามพวกนี้แหละที่เป็นคำถามเกี่ยวกับตัวเรานะคะ

พี่เกดจะไม่เห็นด้วยกับน้อง ๆ ที่เตรียมตัวว่า ถามแบบนี้ ต้องตอบแบบนี้ เพราะแต่ละคนมี Background แตกต่างกัน ในเรื่องการศึกษา ครอบครัว ความสามารถพิเศษ เพราะฉะนั้นตรงนี้ เวลาไปสัมภาษณ์อยากให้ดึงจุดที่เป็นจุดเด่นของตัวเราออกมา แล้วการตอบคำถามนั้นอย่าพยายามตอบว่า เราได้อะไรจากองค์กรเขา แต่เราต้องตอบว่า เราทำอะไรให้กับเขาได้บ้าง อันนี้คือสิ่งสำคัญ

กรรมการถามว่าทำไมอยากเป็นแอร์ - สจ๊วต
บอกว่าอยากจะเที่ยวรอบโลก
อยากจะได้ตั๋วฟรีบ้าง
บางคนก็บอกว่ารู้สึกเป็นงานที่ท้าทาย หลาย ๆ คนมักจะมีคำตอบแบบนี้

หรืออยากที่จะพัฒนาตัวเองในเรื่องของภาษาอังกฤษ
องค์กรเหล่านี้เขาต้องการคนที่พัฒนามาแล้วนะคะ ไม่ใช่รับเข้าไปพัฒนา เฉพาะนั้น เปลี่ยนใหม่ นะคะ เราทำอะไรให้เขาได้บ้าง ซึ่งตรงนี้ไม่บอก เพราะแต่ละคนมีความสามารถไม่เหมือนกัน บางคนบอกว่าฉันพูดได้ 4-5 ภาษา เอาตรงนี้มาทำประโยชน์กับบริษัทเขาได้ เพราะเราสามารถเข้าใจรายละเอียดของผู้โดยสารทุกเชื้อชาติ เพราะเรามีความสามารถตรงนี้..ตรงนั้น

หรือเราเป็นคนที่มี Inter Personal Skill อย่างไร เวลาตอบปุ๊บ ยกตัวอย่างด้วยว่า คุณเป็นคนมีมนุษย์สัมพันธ์อย่างไร มันไม่เห็นภาพต้องมีตัวอย่างด้วยค่ะ ตัวอย่างไม่ต้องหรูหราไฮโซ เป็นตัวอย่างในชีวิตจริงของเรานี้แหละค่ะว่า เราเป็นคนที่มีใจรักบริการอย่างไร เราเป็นคนมีมนุษย์สัมพันธ์อย่างไร

การตอบคำถามนั้น...
การเตรียมตัวก็คือ เอาตัวเองออกมาให้ได้ค่ะ

พยายามกลับไปถามตัวองเยอะ ๆ เท่าที่พี่สอนมาหลาย ๆ ปี รู้สึกว่าพวกเรายังไม่ค่อยรู้จักตัวเองเท่าไหร่ คำถามอะไรที่เกี่ยวกับตัวเองมักจะตอบไม่ได้ เช่น
ทำไมเราถึงอยากเป็นแอร์ – สจ๊วต
ทำไมคุณถึงสนใจในอาชีพนี้
ความสามารถพิเศษของคุณคืออะไร ตรงนี้เรามักจะตอบตัวเองไม่ได้เราต้องกลับไปถามตัวเองในคำถามเหล่านี้ก่อนนะคะว่า
เรามีอะไรในตัวเราบ้าง แล้วก็ในเรื่องอื่นๆเราก็สามารถเตรียมตัวและศึกษาข้อมูลจากที่อื่น ๆ ได้ค่ะ

พิธีกร
การสัมภาษณ์ รายบุคคล ส่วนใหญ่กรรมจะให้เริ่มต้นด้วยการให้แนะนำตัวเอง สิ่งที่เราแนะตัวเอง หรือใช้อธิบายคุณลักษณะของตัวเอง มันอาจจะส่งผลย้อนกลับมาหาเราก็ได้ โดยเฉพาะคำตอบที่ท่องจำมาอย่างขึ้นใจจากหนังสือแนะนำการสอบสัมภาษณ์ แสดงว่าการตอบคำถามสามารถสะท้อนถึงความเป็นเนื้อในของเราได้ด้วย ใช่ไหมครับ คุณเสรี

คุณเสรี
สะท้อนถึงทุกสิ่งครับ
ดังนั้น ในการสอบสัมภาษณ์ เราควรตอบให้ได้แก่นแท้มาจากตัวเรา ให้เป็นรูปธรรมมากที่สุด จะท่องมาตอบแบบนกแก้วนกขุนทอง เป็นบล็อกมาจากตำรา หรืออาจจะใช้ข้อมูลของโรงเรียนติวก็ตาม เพราะฉะนั้นอันนี้ต้องระวัง

โทรศัพท์มือถือยังสามารถสะท้อนตัวเราออกมาได้ ซึ่งบางครั้งเราอาจจะนึกไม่ถึง มันก็เหมือนแบบทดสอบที่เขาใช้ทดสอบเราเขาจะ Test อะไรเราไม่รู้หรอกลึกๆแล้วIce Bottomภูเขาน้ำแข็งที่ซ่อนอยู่ลึก ๆ นั้น มีอะไรซ่อนอยู่เยอะแยะมากมาย ที่เราเองเราก็ไม่รู้ว่าในนั้นมีอะไรนะครับ

แล้วการทำ Group Discussion ก็มักเป็นที่นิยมกันในยุคนี้นะครับ ตราบใดที่คุณยังไม่มีข้อมูลข่าวสารที่จะไปแชร์กับคนอื่นได้ คุณก็ตายตั้งแต่ต้นแล้ว เพราะฉะนั้น เวลาผมสัมภาษณ์ ผมมักจะถามว่า เมื่อเช้าหรือวันนี้คุณได้อ่านหนังสือพิมพ์หรือเปล่า หรือดูข่าวทีวีหรือเปล่า ถ้าหากว่าท่านเป็นคนที่แทบจะไม่สนใจกับข่าวสารบ้านเมือง หรือไม่สนใจข่าวสารของสังคม แล้วคุณจะมีอะไรไปเปิดประเด็นกับเขาล่ะ

เพราะฉะนั้นเราจะต้องเป็นผู้ที่รับข่าวสารอยู่ตลอดเวลา จะเปิดไทยรัฐ จะเปิดหน้าดาราก็ทำได้ หน้า 3, 4, 5 ก็ต้องดูด้วยว่าบ้านเมืองเราไปถึงไหนแล้ว ข่าวสารบ้านเมืองมันเป็นอย่างไร ซึ่งเรื่องนี้มันเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะประเด็นที่เขาจะเปิดในการทำ Group Discussion เราไม่มีทางรู้เลยว่า กรรมการจะโยนเรื่องอะไรมาให้เรา Discuss แต่อย่างน้อยเราก็มีข้อมูลพวกนี้เป็นพื้นฐาน ทำให้เรามีอำนาจในการต่อรองหรือ Control กลุ่มได้ในระดับที่เหมาะสมครับ
ขอบคุณครับ

พิธีกร
แล้วนี่ก็เป็นคำตอบที่ชัดเจนนะครับว่า การที่พยายามไปติวแบบทดสอบทางด้านจิตวิทยาต่าง ๆ อาจจะเป็นเสมือนดาบสองคม หรือเป็นผลเสียที่สามารถพุ่งย้อนกลับเข้ามาหาตัวเราได้

เพราะฉะนั้นพยายามเป็นตัวของตัวเองให้มากที่สุด สิ่งสำคัญก็คือ ความรู้รอบตัวที่จะต้องไปใฝ่หา แล้วก็ทักษะ
อื่น ๆ ที่สัมพันธ์กับงาน ถ้าไม่มีหรือคิดว่าตัวเองมีน้อยเกินไป ก็สามารถที่จะฝึกฝนตามสถาบันที่ให้การอบรมในด้านต่าง ๆ เช่น ภาษาอังกฤษ หรือ บุคลิกภาพ ซึ่งตรงนี้สามารถที่จะพัฒนาได้ครับ

ถ้ามีความใฝ่ฝันที่อยากจะเป็นพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน น้องๆคงจะต้องเตรียมตัวในด้านที่เหมาะสมกับงานนะครับ

ส่วนที่เป็นในด้านใต้ของภูเขาน้ำแข็งหรือทางจิตวิทยา พยายามอย่าไปยุ่งกับมันจะดีกว่า เพราะฉะนั้นถ้าจะเรียนเสริมก็เรียนในสิ่งที่ควรจะเรียนดีกว่านะครับ